แมนยูฯเตรียมฟื้นฟูยุคแห่งทีมเน้นเกมบุก

ต้องรุกเท่านั้น! โซลชาร์ ยืนกราน ขับเคลื่อนทีมด้วยเกมบุก ตามธรรมเนียม ทีมปิศาจแดงในอดีต

ปิศาจแดงต้องการฟื้นฟูรูปแบบทีมแห่งการสร้างสรรค์เกมรุก หลังจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอดีตกุนซือ คนเก่าอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าหลักการทำทีมในแบบของเขาไม่สามารถจะนำมาใช้ได้กับทุกทีม

โดยเฉพาะการที่ทีมปิศาจแดงหันมาพลิกแนวปรับเปลี่ยนสไตล์เน้นเกมอุดแล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าคงเข็ดขยาดกันไปอีกนาน  และสำหรับโอกาสแห่งการเปลี่ยนตัวกุนซือคราวนี้ แฟนๆน่าจะต้องได้เห็นแผนการเล่นใหม่ที่ต่างไปจากเดิม โดย โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้จัดการทีมคนใหม่ ก็ดูเหมือนจะเข้าใจถึงจุดนี้ดี ถึงกับพร้อมประกาศลั่น จะนำแผนเกมรุกที่ทัพปิศาจแดงถนัดกลับมาใช้ในการนี้อย่างแน่นอน

เดิมทีความน่ากลัวของทีมปิศาจแดงนั้น คือแผนการรุกอันรวดเร็ว และ ดุดัน ซึ่งนับเป็นจุดแข็งที่น่ากลัวในสมัยที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังคงคุมทีมอยู่ ซึ่งในยุคนั้นจะอาศัยกองกลางตัวรุกที่เก๋าเกมและมักต้องมีตัวแกร่งคอยบู๊ดุดันดับเครื่องชน รวมไปถึงปีกที่รวดเร็วและศูนย์หน้าตัวเป้าที่เน้นการเข้าฮอส

แต่ทว่าในช่วงยุคหลังที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ยังคงคุมทัพนั้น จะเห็นได้ว่าเกมรุกค่อนข้างที่จะ ไม่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนเพราะมีการปรับแผนการเล่นให้เน้นคุมความแน่นอน ซึ่งอาจไม่ผสานกันกับทรัพยากรนักเตะ  แต่อย่างไรก็ตาม โค้ชคนใหม่ชาว นอร์เวย์ วัย 45 ปีคนนี้ ก็รู้ซึ้งดีว่าควรจะใช้พลังที่มีอยู่ในทีมไปในด้านใด การันตีจากผลงานแรกของ โซลชาร์ ที่พาทีมกระหน่ำบุกไม่ยั้ง จนสามารถเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ไปได้อย่างขาดลอยในสกอร์ 5-1

โดยหลังจากเกมพบ  คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ จบลง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดที่น่าสนใจของเขา ในการอบรมสั่งสอนนักเตะก่อนลงสนามว่า  “เราคุยกันเอาไว้แล้วก่อนเกมกับ คาร์ดิฟฟ์ ว่าหากเราทำประตูได้ 1 ลูก เราก็จะต้องการประตูที่ 2 และเมื่อได้ประตูที่ 2 เราก็ต้องการประตูที่ 3 นี่คือธรรมชาติของทีมนี้”

“การเปิดเกมบุกนั้นถือเป็นปรัชญาของ แมนฯ ยูไนเต็ด มันเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดกันมา เป็นประวัติศาสตร์ และเป็นแนวทางการเล่นของเรา นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการจะทำให้ได้”

ทั้งนี้การเอาชนะฝ่ายตกข้ามในนัดแรกของการต้อนรับกุนซือคนใหม่ ถือเป็นธรรมเนียมที่พบเห็นกันได้บ่อยอยู่แล้ว ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ท้ายสุดแล้ว สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะสามารถหายใจได้โล่งท้อง และยิ้มออกต่อไปกับกุนซือคนใหม่นี้ได้หรือไม่ หรือจะต้องนั่งกุมขมับเหมือนตอนกุนซือคนเก่าต่อไปอีก ก็ต้องติดตามลุ้นกันต่อไป